7 ธันวาคม 2024

เกี่ยวกับการฝึกสมาธิ ของท่าน สัตยาไสบาบา

มีเรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ และผลจากการฝึกสมาธิมาฝากครับ เป็นการสอนสมาธิของท่าน สัตยาไสบาบา

ท่าน สัตยาไสบาบาสอนว่า สมาธิที่แท้จริงคือการที่จิตใจของเราอยู่กับพระเจ้า หรือพุทธะ หรือจิตที่บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา คือสภาวะที่จิตใจของเราผูกพัน นึกถึงแนบแน่นจนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตที่บริสุทธิ์ สภาวะที่ว่านี้เราทุกคนสามารถฝึกฝนให้บรรลุได้ด้วยความเพียรพยายาม

ในกรณีของการฝึกนั่งสมาธิ ท่านไสบาบาแนะนำว่า
๑. เราควรฝึกในตอนเช้า เวลาระหว่าง ๐๓.๐๐ – ๐๖.๐๐ นาฬิกา จะเป็นเวลาที่ดีที่สุด

๒. ไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำก่อน แต่ถ้าง่วงมาก ก็ให้ไปอาบน้ำเย็นให้หายง่วง

๓. ควรนั่งในท่าที่สบายและให้แผ่นหลังตรงและนั่งบนผืนผ้ารองระหว่างพื้นกับตัว เรา เพราะขณะที่ฝึกปฏิบัติจะมีพลังงานที่สำคัญไหลผ่านตัวเรา การที่ต้องนั่งหลังตรง ก็เพื่อให้พลังงานถ่ายเทขึ้นลงโดยสะดวก และการที่ต้องนั่งบนผ้ากั้นตัวเรากับพื้น ก็เพื่อให้ผ้าทำหน้าที่เป็นฉนวนมิให้พลังงานไหลลงสู่ดินไปหมด

ตอนนี้ขอให้เตรียมเทียนไขหรือตะเกียงแล้วจุดไฟให้เทียนหรือตะเกียงสว่าง

ก่อน ที่จะเริ่มต้นนั่งสมาธิต่อไป ท่านไสบาบาแนะนำให้เราภาวนาหรือสวดมนต์สักเล็กน้อยด้วยบทสวดอะไรก็ได้ที่จะ ทำให้จิตใจสงบ จากนั้นให้เฝ้าดูลมหายใจเข้าออกของเราแล้วภาวนา ถ้าเป็นชาวพุทธอาจภาวนาคำว่า “พุทโธ” หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” เราอาจภาวนาคำว่า “โซ-ฮัม” ซึ่งแปลว่า เราคือจิตที่บริสุทธิ์ โดยหายใจเข้า “โซ” หายใจออก “ฮัม” ภาวนาเช่นนี้ ประมาณ ๒-๓ นาที

เมื่อ จิตใจสงบลงแล้ว ให้จ้องแสงเทียนหรือตะเกียงสักครู่หนึ่ง จนหลับตาก็สามารถนึกภาพแสงเทียนนี้ได้ ท่านไสบาบาแนะนำให้ใช้แสงเทียนจะดีกว่าการจินตนาการถึงแสงสว่างที่ไร้รูป ร่างท่านสอนว่า จะเป็นการยากกว่ามากที่จะนึกถึงแสงสว่างที่ไร้รูป การนึกถึงแสงสว่างที่มีรูปร่างจะง่ายกว่า

ต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนการฝึก หลังจากที่เราหลับตานำภาพแสงเทียนเข้ามาในศรีษะของเราโดยผ่านเข้ามาที่หน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง

๑.เมื่อแสงสว่างอยู่ในศรีษะของเราให้บอกกับตนเองในใจว่า เราจะคิดแต่สิ่งที่ดี

๒.นำ แสงสว่างเคลื่อนลงมาจากศีรษะมาที่บริเวณหัวใจของเรา และให้จินตนาการว่าตรงบริเวณหัวใจของเรามีดอกบัว เมื่อดอกบัวได้รับแสงสว่างดอกบัวก็บานออกมาสวยงาม แสงสว่างชำระล้างความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราไม่มีความมืดอีกต่อไป มีแต่ความสะอาดและสว่าง

๓.นำ แสงสว่างจากหัวใจไปที่แขนและมือทั้ง ๒ ข้าง ให้มือทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะใช้มือทั้ง ๒ ข้างในการทำแต่สิ่งที่ดี เราจะรับใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เสมอ

๔.นำ แสงสว่างไปที่ขาและเท้าทั้ง ๒ ข้างให้เท้าทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะเดินก้าวหน้าไปในทางที่ดี ไปสถานที่ที่ดี และไปพบคนดี

๕.นำ แสงสว่างกลับขึ้นมาที่ปากและลิ้นของเรา ให้ปากและลิ้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะพูดแต่สิ่งที่ดี พูดแต่ความจริง และพูดเท่าที่จำเป็น

๖.นำแสงสว่างไปที่หูทั้ง ๒ ข้าง ให้หูทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะฟังแต่สิ่งที่ดี

๗.นำ แสงสว่างไปที่ตาทั้ง ๒ ข้าง ให้ตาทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะมองแต่สิ่งที่ดี เราจะเห็นแต่สิ่งที่ดีในทุกสิ่ง

๘.นำแสงสว่างกลับมาที่ศีรษะอีกครั้งหนึ่ง ให้นึกว่าศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่างมากขึ้น เจิดจ้าขึ้น

ใน ตอนนี้ เราจะกระจายแสงสว่างไปให้กับคุณพ่อ คุณแม่ ครู อาจารย์ เพื่อน แม้กระทั่งศัตรูของเรา ให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ให้ทั้งโลกเต็มไปด้วยแสงสว่าง ขอให้เห็นแสงสว่างว่าครอบคลุมทุก ๆ คน ทุก ๆ ชีวิตให้ทุกชีวิตเต็มไปด้วยแสงสว่าง ขอให้เห็นว่าแสงสว่างที่อยู่ในตัวเราก็อยู่ในตัวทุกคนด้วย เป็นแสงสว่างเดียวกัน บอกกับตนเองว่า เราอยู่ในแสงสว่าง แสงสว่างอยู่ในตัวเรา เราคือแสง

ถึง ตอนนี้เราจะจบการนั่งสมาธิโดยการแผ่เมตตา จากนั้นก็เก็บความรู้สึกที่สะอาด สว่าง ของแสงสว่างในหัวใจไว้กับตัวเราตลอดวัน หรืออาจนึกถึงรูปหรือนามของพระเจ้าที่เราบูชา ให้ปรากฏอยู่ในแสงสว่างในหัวใจของเรา แล้วเก็บภาพและความรู้สึกนี้ไว้กับเราตลอดวัน ตลอดเวลา

ลำดับ ของแสงสว่างตั้งแต่ที่หัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้จุดสุดท้ายนั้น เป็นแสงสว่างที่ศีรษะของเราอีกครั้งหนึ่ง

ท่าน ไสบาบาสอนว่า ถ้าเราฝึกเช่นนี้ทุกวันอย่างจริงจังและเป็นระบบแล้ว วันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราไม่สามารถมองไม่ดี ฟังไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีได้เลย เพราะเราได้ปลูกฝังแสงสว่าง ซึ่งเป็นตัวชำระล้างส่วนต่าง ๆ ของเรา จนกระทั่งเราไม่สามารถทำในสิ่งไม่ดีได้

สมาธิที่แท้

ท่าน ไสบาบาสอนว่า การนึกถึงแสงสว่าง และนำแสงสว่างไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการฝึก เพราะสมาธิที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือการคิด ถ้าเรายังคิดอยู่ก็ไม่ใช่สมาธิที่แท้จริง แต่การนำแสงสว่างไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นอุบายที่ให้จิตใจคิดไปในทางที่ถูกต้องก่อนจนกระทั่งจิตใจสงบขึ้นและตอน ที่กระจายแสงสว่างออกไปจากตัวเรา ตอนนั้นเองที่เรามักจะลืมร่างกายของตนเอง และจมลึกไปอยู่กับแสงสว่างที่กระจายและปรากฏอยู่ในตัวทุกชีวิต ตอนนั้นเราจะเริ่มดิ่งลงสู่สมาธิที่แท้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราลืมร่างกายของเราโดยสิ้นเชิง และตระหนักถึงแต่แสงสว่างเท่านั้น สภาวะนั้นเป็นสภาวะของความปีติ มีแต่แสงสว่าง และปัญญาก็จะเกิดขึ้นเองโดยปราศจากการคิด เป็นสภาวะที่ไม่สามารถบังคับให้เกิดขึ้นตามใจเองได้

เหตุผลของการใช้แสงสว่าง

ท่าน ไสบาบาสอนว่า ถ้าเราไปเอาทรายมาจากกองทราย ในไม่ช้าทรายก็หมด ถ้าเราเอาน้ำมาจากบ่อ ในไม่ช้าบ่อน้ำก็จะแห้ง แต่เราสามารถไปเอาแสงสว่างจากเทียนเล่มหนึ่งที่จุดสว่างอยู่ได้อย่างไม่ จำกัด ถึงอย่างไรแสงสว่างก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป

ท่าน ยังกล่าวอีกว่า ไม่ว่าเราจะนึกถึงพระเจ้าหรือจิตที่บริสุทธิ์ในรูปนามใด ที่สุดแล้วพระเจ้าก็ยังไม่ใช่และอยู่เหนือรูปและนามนั้น ด้วยเหตุผลอันนี้เอง ที่บรรพบุรุษของเราใช้แสงสว่างเป็นสัญลักษณ์แทนพระเจ้า หรือจิตที่บริสุทธิ์ มันเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนที่ใกล้เคียงและเหมาะสมกับพระเจ้าที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นชนทุกชาติ ศาสนาก็ยังยอมรับและให้ความเคารพในสัญลักษณ์นี้

เคล็ด ลับอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า แสงสว่างเป็นตัวชำระล้างและนำความบริสุทธิ์ที่ดีที่สุด เมื่อเราชำระล้างตาของเราให้ “ตาสว่าง” เราก็ไม่สามารถดูอะไรที่ไม่ดีอีกต่อไป เมื่อแสงสว่างอาบหูของเราทุกวัน เราก็ไม่สามารถไปฟังสิ่งไม่ดี เช่นการนินทาต่าง ๆ เมื่อปากของเราได้รับการชำระ เราก็ไม่พูดความเท็จหรือสิ่งไม่ดี หัวใจของเราเมื่ออยู่กับแสงสว่าง ความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ มือที่สว่างก็ไม่ทำชั่ว

สรุป

ท่าน ไสบาบาสอนว่า การฝึกสมาธิโดยการใช้แสงสว่างเป็นวิธีการฝึกนั่งสมาธิที่เป็นสากล และให้ผลมากที่สุดในยุคนี้ หลายคนคิดว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ง่ายและไม่ซับซ้อน คงเหมาะสำหรับเด็กเท่านั้น และคงไม่ก่อให้เกิดปัญญาหยั่งรู้ความจริงหรือช่วยให้หลุดพ้นอย่างแน่นอน คงเป็นแค่การผ่อนคลาย

หา มิได้ ท่านไสบาบาบอกในทางตรงข้าม คือ การฝึกเช่นนี้เหมาะกับทุกคน ทุกวัย และควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเยาว์ และมันสามารถให้ผลจนถึงขั้นนำไปสู่ความหลุดพ้น และเกิดปัญญาพ้นทุกข์ได้แน่นอน ก่อนที่จะนำไปสู่จุดนั้น การฝึกเช่นนี้ยังให้ผลพลอยได้คือ มันทำให้เราได้รับการผ่อนคลายอย่างมากด้วย

ท่าน แนะนำให้เราฝึกเป็นประจำ เริ่มต้นจากวันละไม่กี่นาทีทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แล้วค่อย ๆ ขยายเวลาออกไป ผู้คนจำนวนหลายล้านคนทั่วโลกถือว่า ท่านไสบาบาเป็นองค์อวตารแห่งยุค คำว่าองค์อวตารแห่งยุคคือ ผู้นำทางจิตวิญญาณที่ให้คำสอน พร และพลังที่จะนำมนุษย์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ อวิชชา และความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงในยุคนั้น ๆ องค์อวตารแห่งยุคมักจะให้คำสอนที่เหมาะ และได้ผลสำหรับยุคนั้น ๆ ท่านสัตยาไสบาบา เทพอวตารแห่งกลียุคก็ได้ให้เคล็ดลับของการฝึกสมาธิที่เหมาะกับยุคนี้แล้ว

สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้เชื่อว่าท่านเป็นเทพอวตารแห่งยุค การฝึกสมาธิโดยใช้แสงสว่างก็ยังเป็นวิธีที่เป็นสากล ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใด และให้ผลได้ดีหากท่านได้ลองฝึกด้วยตนเอง

ขอภาวนาให้พรขององค์ภควันศรีสัตยาไสบาบา จงอยู่กับทุกท่านที่พากเพียรปฏิบัติตน เพื่อให้เข้าใจตนเองและพ้นจากความทุกข์ตลอดไป

ขอขอบคุณที่มาจาก facebook และรูปภาพจาก Google.

ความคิดเห็น