พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดํา บรรยายธรรมที่ ธัมมวิโมกข์ (2552) ว่าด้วยเรื่อง กรรมเก่าของกา
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถ อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร บรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกันมาเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านได้เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่งเพื่อจะบิณฑบาต อันเป็นปกติของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย เพราะว่าบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยง
เมื่อชาวบ้านรับบาตรของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็นิมนต์ให้นั่งฉันที่สำหรับเป็นที่ฉัน คือเขาจัดสถานที่ไว้ตามสมควร เมื่อถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว สำหรับ “ยาคู” ท่านแปลว่า ข้าวต้ม “ของเคี้ยว” ก็คงเป็น กับข้าว เป็นต้น
เมื่อถวายของท่านแล้วก็รอเวลาให้พระฉันเสร็จด้วยการฟังธรรม ในขณะนั้นเองปรากฏว่าเปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง สำหรับหญิงคนนั้นเป็นผู้หุงข้าวและปรุงกับข้าว ท่านบอกว่า สูปะ และ พยัญชนะ (แกงและกับ) อยู่ที่เตาไฟ ไฟนั้นได้ลุกขึ้นติดชายคา เสวียนหญ้าอันหนึ่งปลิวขึ้นจากชายคานั้น
สำหรับเสวียนเขาทำกลม ๆ ทำด้วยหญ้า สำหรับรองหม้อข้าว ถูกเปลวไฟ ลมพัดมาเสวียนหญ้าอันนั้นก็ปลิวขึ้นไปบนอากาศ
ในขณะนั้นเองปรากฏว่ามีกาตัวหนึ่งบินมาในอากาศ เสวียนหญ้าอันนั้นก็สอดเข้าไปพอดี หมายความว่าเวลาที่กาบินมาเสวียนหญ้าก็ลอยขึ้นไป กาตัวนั้นก็บินมาเอาคอสอดเข้าไปในเสวียนหญ้านั้นพอดี เป็นอันว่าเสวียนหญ้านั้นก็ติดคอเกิดไฟไหม้ขนไฟไหม้ตัว กาตัวนั้นก็ทนความร้อนไม่ไหวก็ตกลงกลางบ้าน บินต่อไปไม่ได้ ก็เป็นอันว่าต้องตายกัน
กรรมอันนี้ไม่มีใครเขาทำ ไฟลุกขึ้นมาจากชายคาเสวียนหญ้าถูกไฟไหม้ ลมพัดลอยขึ้นไป กาบินมาเอาคอสวมเข้าไปพอดี ไฟก็ไหม้ตกลงมาตาย
บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเห็นเหตุนั้นจึงได้คิดว่า เออ…นี่เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน กรรมหนักแท้ๆ ท่านผู้มีอายุท่านคุยกันว่า ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นแก่กา
ตามธรรมดากาบินมาในอากาศเฉยๆ เสวียนหญ้าถูกไฟลุกลอยขึ้นไปบนอากาศ เสวียนไม่มีชีวิตจิตใจ ความเร็วของกาเอาคล้องคอเสวียนหญ้าเข้าให้ แล้วก็ตกมาตาย เหตุนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เราไม่สามารถจะพยากรณ์ได้ เว้นแต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็คงไม่มีใครสามารถจะรู้กฎของกรรมนี้ได้
จึงได้ปรึกษากันต่อไปว่า เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะต้องทูลถามเรื่องนี้ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จโมทนาแก่ชาวบ้านแล้ว ก็พากันลาชาวบ้านไป…..
พระพุทธเจ้าตรัสกฎของกรรม
บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อเวลามาถึงสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง หมายความว่าก่อนจะถึงเดินมารวมกันได้เองอย่างไม่มีการนัดหมาย ก็เลยร่วมกันเป็นคณะเดียวกันเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา……
ลำดับนั้นองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงได้ทรงพยากรณ์กับบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย…กานั้นเสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้ หมายความว่า กาที่บินมาในอากาศที่ต้องตายเพราะเอาคอเข้าไปสวมเสวียนที่มีไฟลุกโชนแล้วก็ถูกไฟไหม้ เพราะอาศัยกรรมที่ตนทำไว้แล้วในชาติก่อน
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระชินวรจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า ในอดีตกาลมีชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี เขาพยายามฝึกโคคือวัวของเขาสำหรับไถนาสำหรับใช้งานอยู่ตัวหนึ่ง แต่ว่าเจ้าวัวตัวนี้มันก็แปลก มันเป็นวัวดื้อวัวด้านไม่สามารถฝึกได้ เพราะว่าวัวของเขาตัวนี้เดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วมันก็นอนเสีย ให้มันทำงานใช้ไถนาใช้ลากเกวียน ใช้ลากล้อ มันไปได้หน่อยนึงมันก็นอน
เจ้าของเขาก็ทุบตีไล่ให้มันลุกเดิน มันก็เดินไปได้หน่อยหนึ่งมันก็นอนเหมือนอย่างเดิม ชาวนานั้นโกรธ แม้จะพยายามฝึกแล้วฝึกเล่ามันก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงได้บอกกับวัวว่า “ดีล่ะ เจ้าวัวดื้อ บัดนี้เจ้านอนสบายที่ตรงนี้แล้ว จะนอนสบายต่อไป” คือไม่ต้องลุกจากที่นี่แล้ว
ฉะนั้นเขาจึงได้นำท่อนฟืนบ้าง ฟางบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาฟางมาทำเป็นเสวียนพันคอโคนั้น ก่อนที่จะจุดไฟเขาเอาฟืนท่อนเล็ก ๆ ทับลงไปที่ตัวโคก่อน แล้วเอาฟางกลุ่มใหญ่มาผูกคอโค แล้วก็ทับไปที่คอโค แล้วก็จุดไฟ ไฟก็ลุกโชนขึ้นคลอกโคตัวนั้นถึงแก่ความตาย
บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็ทราบกรรมที่กาตัวนั้นพึงต้องถูกกระทำ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น อันกานั้นทำแล้วในครั้งนั้น คือสมัยที่เขาเกิดเป็นคนเผาโค ตัวเขาเองต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้นเกิดขึ้นก็ถูกเผาแบบนี้โดยไม่มีเจตนาของใครถึง 7 ครั้งด้วยกัน แล้วก็ตายในอากาศแบบนี้เหมือนกัน ด้วยผลของกรรม”
ที่มา: พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2552),341,44-50