เมื่อเรียกตัวเองว่าพระวิปัสสนาจารย์แล้วก็ระวังให้ดีๆ ให้มันเป็นหมอจริงๆ จะต้องรู้จักใช้เครื่องมือหรือหยูกยาให้เป็นหมอจริงๆ…ต้องเป็นหมอที่จริงจึงจะรู้จัก
ธรรมะโอสถ
ใช้ศีลแก้โรคอะไร
ใช้สมาธิแก้โรคอะไร
ใช้ปัญญาแก้โรคอะไร
ให้มันเป็นเรื่องๆ ไปเลย หรือว่าจะแยกแขนงออกไปเป็นอะไรก็สุดแท้ ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นว่า ศีล สมาธิ ปัญญานี้ก็ทำงานร่วมกัน
ฉะนั้น ศีลนี้ก็คงจะเหมือนกับว่าพาไปหาที่ปลอดภัยไว้ก่อน คนมันไม่สบายนี่ จัดที่จัดทางให้มันปลอดภัยในการที่มันจะได้อากาศดีแสงแดดดีอะไร
เรื่องสมาธิก็เหมือนกับกินยาแก้ปวด ยาแอสไพรินอะไรพวกนี้ไว้ก่อน คือว่าเป็นยาบรรดาที่ระงับความปวดเจ็บ กระวนกระวายทุกชนิด มันมียาอย่างนี้อยู่พวกหนึ่ง ไม่ใช่แก้โรคให้หายได้
ในขั้นสุดท้ายเขาก็มียาหรือวิธีการบำบัดที่มันรักษาเด็ดขาดลงไป นี่มันจึงจะมาถึงขั้นปัญญาหรือวิปัสสนา
ที่มา อบรมพระวิปัสสนาจารย์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ