Site icon ความรู้

ศีลธรรมคืออะไร

ศีลธรรมคืออะไร

เป็นการบรรยายแก่นักเรียนวัดธารน้ำไหล เรื่องของขวัญวันเด็ก โดยท่านพุทธทาสภิกขุ

เธอทั้งหลายยังรู้จักตัวเองกันน้อยเกินไป… คือไม่รู้จักตัวเองว่า เด็กๆ ทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลก

เธอไม่ใช่เป็นแต่เพียงว่า ‘เป็นเด็กวันนี้ เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า’ เหมือนที่เขาพูดๆ กัน มันไม่มีความหมายอะไรนัก ธรรมดามันก็เป็นอย่างนั้นอยู่เองแล้ว

เธอรู้จักตัวเองน้อยเกินไปจึงไม่รู้จักข้อนี้
ไม่รู้ถึงเกียรติอันสูงสุดว่าเป็นผู้สร้างโลก…

โลกนี้ทั้งหมดย่อมประกอบอยู่ด้วยมนุษย์ทั้งหมด มนุษย์ทั้งหมดเป็นอย่างไรโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้น เด็กทุกคนจะเป็นมนุษย์ทุกคนในอนาคตในโลก โลกจึงเป็นอย่างที่พวกเธอทุกคนเป็นในขณะนั้น หรือจะทำให้มันเป็นในขณะนั้น

เธอจึงเตรียมตัวเป็นคนดี เพื่อโลกมันจะเป็นโลกที่ดีมีค่า และสวยสดงดงาม ไม่มีอะไรน่าขยะแขยง แล้วจะเป็นโลกที่มีสันติสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน ไม่มีวิกฤตการณ์อันเลวร้ายอันโสมมเหมือนที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้ในเวลานี้

นี่เห็นไหมเธอทั้งหลายสามารถสร้างโลกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นมาได้ ในเมื่อเธอทั้งหลายเป็นคนดีมีศีลธรรมที่เธอควรจะตั้งต้นกันเสียแต่บัดนี้

ศีลธรรมนั้นสรุปเป็นหัวข้อเพียง ๓ ข้อ

ข้อที่ ๑ คือ รักผู้อื่น ผู้อื่นทั้งหลายถ้าเธอมองดูสักนิดจะเห็นว่ามันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันกับเรา มันมีใครเล่าที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันก็เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน ทนทุกขเวทนาอย่างเดียวกัน เราจึงถือว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน

ครั้นรักผู้อื่นแล้วก็จะหมด ความเห็นแก่ตัว อันเป็นสิ่งเลวร้ายทำลายโลก

เมื่อรักผู้อื่นแล้วโลกนี้ก็จะมีแต่ความเมตตา กรุณา ช่วยเหลือกันฉันท์มิตรทุกทั่วหน้า เป็นโลกที่มีแต่มิตรไม่มีศัตรู แม้นอนก็ไม่ต้องปิดประตู เหลียวไปทางไหนมีแต่มิตร มีแต่มิตรที่พร้อมจะช่วยเหลือไม่ใช่มิตรเฉยๆ ไม่ใช่เป็นเพื่อนกินคอยหลอกลวงมิตรเพื่อจะกิน

ศีลธรรมข้อที่ ๒ คือ การบังคับจิตของตน

บังคับจิตก็คือบังคับความรู้สึก ควบคุมความรู้สึก บังคับจิตของตนไม่ให้ผลุนผลันบันดาลโลภะ บันดาลโทสะ บันดาลโมหะ

ถ้าเราบังคับจิตหรือบังคับตัวเองมันไม่บันดาลสิ่งเลวร้ายเช่นนั้น มันจะมีสติสมบูรณ์ ไม่เผลอเรอเลินเล่อ ไม่มีทางที่จะตัดสินใจอะไรผิดๆ ไม่คิดผิด ไม่พูดผิด ไม่ทำผิด

จะทำอะไรก็ตั้งนะโมก่อนเสมอ เด็กบางคนจะนึกหัวเราะเยาะอยู่ในใจว่าตั้งนะโม…ตั้งนะโมนั้นให้สำรวมจิตใจระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน…ก็จะมีเวลาพอที่จะคิดนึกสังเกตศึกษาว่า ควรทำไหมหรือควรทำอย่างไร ควรทำเท่าไหร่ ควรทำที่ไหน นี่เรียกว่ามันไม่มีทางจะผิดพลาดถ้าทำอะไรนี่ตั้งนะโมเสียก่อน

เอาแต่ใจความก็คือว่า สำรวมสติสัมปชัญญะ ให้ดีที่สุด

ตัวกิเลสตามธรรมชาติ ตามธรรมดาของคนทุกคนต้องบังคับไว้ ต้องควบคุมไว้ ต้องปกครองไว้ #อย่าให้กิเลสมันไปกระทบกระทั่งผู้อื่น โดยทางกาย หรือโดยทางสิทธิอันชอบธรรม…

เดี๋ยวนี้คนละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนเกิดเรื่องเกิดราวอยู่ทั่วไปทั้งโลก

องค์การโลกก็มีการละเมิดสิทธิกันบ่อยๆ เหมือนกัน คุมพวกเป็นพวกๆ แล้วก็ออกเสียงเพื่อได้เปรียบทางตน จนกระทั่งว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เธออย่าเอาอย่าง

เธอโตขึ้นแล้วจะเป็นผู้สร้างโลก #เธอจงสร้างโลกให้ไม่มีการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทุกหนทุกแห่งให้มีแต่ความถูกต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ศีลธรรมข้อที่ ๓ คือถือหลักว่า #การทำการงานนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม

ทำงานด้วยกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เขาก็เท่ากับทำลายตัวเอง เชือดคอตัวเองลงไปทีละน้อยๆ แล้วก็จะวินาศลงไปในที่สุด

การทำงานคือการปฏิบัติธรรม

คำว่า ธรรม แปลว่าหน้าที่ของมนุษย์

หน้าที่นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ มีหน้าที่รักษาตัวเองให้รอด แล้วก็มีหน้าที่ทำตัวเองให้เจริญสูงยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่มนุษย์ควรจะทำได้ ฉะนั้นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ถูกต้องนี่เขาเรียกว่าธรรม

ในเวลาที่เราทำงานเรามีความสุข เราไม่ต้องไปอาบอบนวดเหมือนเขาอื่น ไม่ต้องหาความสุขจากอบายมุขคือดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ซึ่งเป็นปากทางแห่งอบายเป็นประตูแห่งอบายคือ ความพินาศ ความฉิบหายทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ

การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไร เขามีความรักการงานเป็นสุขอยู่ในการงาน มีการงานเป็นที่เคารพ ระวัง ทำให้ดีที่สุด ถ้าทุกคนทำอย่างนี้แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร โลกนี้จะไม่มีคนจนแม้แต่คนเดียว ไม่มีคนยากจนแม้แต่คนเดียว มีใครเจ็บไข้ลงสักคนมีคนมาช่วยเหลืออาสาเยียวยารักษาตั้งร้อยคนนะ

คิดดูเถอะว่า ถ้าว่ามันมีการงานเป็นพระธรรม ก็ไม่มีใครเป็นคนยากจนมีแต่คนร่ำรวย รวยด้วยเงินรวยด้วยน้ำใจนี่ล่ะลักษณะของโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งเธอทั้งหลายสามารถจะสร้างมันขึ้นมาได้ในอนาคต เมื่อมีการศึกษาดี ถูกต้อง เพียงพอแล้ว

สรุปความว่าสร้างโลกพระศรีอริยเมตไตรยได้ด้วยการกระทำเพียง ๓ อย่างเท่านั้น ไม่ใช่มากมายเป็นภูเขาเลากาท่วมหูท่วมหัว

๑.ทุกคนรักผู้อื่น
๒.ทุกคนบังคับกิเลสของตนเอง
๓.ทุกคนรักและบูชาการงาน

เห็นหน้าที่ของมนุษย์เป็นสิ่งสูงสุด มีความสุขจากการทำงานได้ความสุขชนิดที่ไม่ต้องจ่ายเงิน มันเป็นความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินอย่างที่เธอไปขโมยของพ่อแม่มาซื้อหาความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ความสุขหลอกลวง ความสุขโง่เขลา ความสุขที่ต้มให้สุก เผาให้สุก กี่ให้สุก

เราจะต้องมีความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วกลับได้เงินมามีเงินเหลือเฟือมากขึ้นทุกที นี่คือ ความสุขที่ได้มาจากการไหว้ตัวเอง เคารพตัวเองเมื่อทำการงาน มีความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วกลับมีเงินเหลือเฟือมากขึ้นทุกที ไม่มีใครขาดแคลนอะไรตนเองก็เป็นสุขแล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นสุข

ข้อนี้ระวังไว้ดีๆ ว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เราต้องมีเพื่อนร่วมโลก เราจะเป็นผู้มีความสุขคนเดียวไม่ได้เมื่อคนอื่นทุกคนไม่มีความสุข จึงต้องทำพร้อมๆ กันไป ตัวเองก็เป็นสุขผู้อื่นก็เป็นสุขจึงจะเป็นโลกที่มีแต่สันติสุขเรียกว่าโลกของพระศรีอริยเมตไตรย

ถ้าเธอจะเห็นว่ามันเป็นชื่อที่ยืดยาวโก้หรูเกินไปจะไม่เรียกอย่างนั้นก็ได้แต่เรียกว่าโลกที่เธอต้องช่วยกันสร้างมันขึ้นมา เพราะว่าเด็กๆ คือผู้สร้างโลกดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มันเป็นโลกที่พวกเธอต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา

ในที่สุดนี้ฉันจะขอให้เด็กๆ ทุกคนรู้จักตนเองให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงว่า เด็กๆ คือผู้สร้างโลก มีหน้าที่สร้างโลกในอนาคตโดยเฉพาะอย่างถูกต้อง เธอทั้งหลายเตรียมตัวเสียแต่วันนี้เพื่อทำหน้าที่อันแท้จริงของตน วันนี้เป็นวันเด็กเป็นวันที่มีเกียรติที่สุดสำหรับเด็ก

ความคิดเห็น